เรื่องประหลาดที่เกิดกับ "ธรรมกาย" (ตอนที่ 1)
เรื่องประหลาดที่เกิดกับ "ธรรมกาย" (ตอนที่ 1)
ยิ่งตรึกตรอง ยิ่งเห็นว่าเรื่องที่เกิดกับธรรมกายดูจะใหญ่โตกว่าที่ผมเคยคิดไว้เยอะ
จากที่เหมือนจะเข้าใจ แต่ยิ่งนานไปกลับรู้สึกเหมือนไม่รู้อะไรเลย คล้ายเดินเข้าไปในอุโมงค์มืด ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งกว้าง ทั้งมืดและเวิ้งว้างจนไม่รู้ว่ากำลังอยู่ตรงไหน จับต้นชนปลายไม่ถูก
ว่าธรรมกายถูกเล่นงานเพราะอะไร ? โดยใคร ? ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? และด้วยวิธีอะไรบ้าง ? ตลอดเวลายาวนานกว่า 47 ปี
ย้อนอดีตไปสมัยวัดนี้สร้างใหม่ ๆ เรื่องแรก ๆ ที่เขาโยนให้คือเป็น 'คอมมิวนิสต์' เพราะเจ้าอาวาสวิสัยทัศน์กว้างไกล ชวนนิสิตนักศึกษามาบวชได้เป็นจำนวนมาก ตอนนั้นรัฐบาลระแวงว่าอาจจะปลุกระดมจนเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ จึงถวายความเป็นคอมมิวนิสต์มาให้ ดีที่พระท่านไม่ได้รับประเคน
วัดเติบโตรวดเร็ว เจ้าหน้าที่วัด ทั้งพระ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ญาติโยม เพิ่มจำนวนเป็นทวีคูณภายในเวลา 40 กว่าปี จากร้อยเป็นพัน พันเป็นหมื่น หมื่นเป็นแสน แสนเป็นล้าน และสยายปีกมีศูนย์สาขาไปเผยแผ่พุทธศาสนาทั้งในและนานาประเทศ อย่างที่ไม่เคยมีวัดไหน คณะสงฆ์ หรือรัฐบาลใดทำได้มาก่อน
>>>ความเจริญเหล่านั้น เหมือนแสงจ้าที่แยงตาใครบ้างไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ คือหน่วยงานความมั่นคง ถึงขนาดส่งคนเข้ามาบวชปะปนอยู่ในวัด แต่ไม่พบอะไร แต่ความระแวงสงสัยยังไม่เคยสิ้นสุด
ความรุ่งเรืองของวัดเกิดคู่ไปกับปัญหาและข้อหาที่ถาโถมมาเป็นระยะ ตั้งแต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ไล่ที่ชาวนา เจ้าอาวาสโกงที่ดินวัด อวดอุตริมนุสสธรรม คำสอนผิดเพี้ยน เป็นพุทธเทียมที่ทำลายศาสนา โดนรุมยำทั้งจากฝ่ายการเมือง พระที่ไม่ชอบธรรมกาย นักวิชาการศาสนาบางคน สื่อบางฉบับ และโทรทัศน์บางช่อง แต่ธรรมกายก็ยังหยัดยืนอยู่ได้ เรียกว่า "จับไม่มั่น คั้นไม่ตาย" ก็แล้วกัน
จนมาถึงวันนี้ ซึ่งคงเป็นสถานการณ์ที่หนักที่สุดที่ธรรมกายเคยโดนมา คือ 'คดีเจ้าอาวาสรับของโจรและฟอกเงิน'
เรื่องราวตลอด 47 ปีมานี้ จะว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยคงไม่ได้ ใครหนอ ที่อยากรุมทึ้งธรรมกายให้ตายอย่างนี้
จะว่าเป็นภัยต่อ 3 สถาบันหลัก คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็ไม่ใช่
แล้วเป็นภัยต่ออะไรกัน ?
ผมเดานะ ว่าคงต่อ "อำนาจ" ของกลุ่มอิทธิพลบางอย่างในประเทศนี้ ไม่ว่าจะการเมือง วงการศาสนา ฯ เพราะอำนาจนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่จะได้รับ
ยิ่งผู้คนศรัทธาหลั่งไหลเข้ามามากเท่าไหร่ ยิ่งมีทีมงานและการจัดการเข้มแข็งมากเท่าไหร่ ยิ่งมีทุนมากเท่าไหร่ ยิ่งขยายสาขา มีคอนเน็กชั่นทั้งในและนอกประเทศมากเท่าไหร่ ธรรมกายก็เหมือนหนามยอกอก เป็นมีดกรีดขั้วหัวใจ สร้างความระแวง ท้าทายพวกกระหายอำนาจที่หวังผลประโยชน์โดยไม่รู้ตัว
ผมไม่รู้ว่าอำนาจของใคร ฝ่ายไหน แต่แน่ใจว่าธรรมกายถูกลากเข้าไปสู่วังวนนี้แล้วอย่างแน่นอน แม้จะเป็นองค์กรในพุทธศาสนาที่ชื่อว่าสันติที่สุดในโลก ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ไม่เคยทำสงครามกับใคร มีแต่ถูกไล่ล่า ยิ่งในเมืองไทย วัดพุทธไม่เคยเป็นต้นเหตุทำร้ายใครมาตั้งแต่สุโขทัยเป็นราชธานี
แต่เพราะมนุษย์บางพวกโลภมาก บ้าอำนาจไม่รู้จบ ธรรมกายจึงไม่เคยได้สงบจริง ๆ สักที วันดีคืนดีก็ถูกโยนขี้ใส่ร้ายป้ายสีสักทีนึง
อย่างที่ธรรมกายโดนอยู่ในปัจจุบัน ถ้าศึกษาสังเกตกันสักหน่อย ไม่ใช่คนปัญญาง่อยเชื่ออะไรง่ายเกินไป ก็จะเห็นความแปลกประหลาด ความไม่ชอบมาพากล ความไร้เหตุไร้ผลในหลายเรื่องเลย
>>> มาสิ...ผมจะเล่าเรื่องประหลาดเหล่านี้ให้ฟัง <<<
1. คดีประหลาด รับของโจร ฟอกเงิน (ค่อย ๆ ทำความเข้าใจนะครับ)
เรื่องเกิดตั้งแต่ปี 2551-2556 นายศุภชัย (ผู้บริหารสหกรณ์คลองจั่นสมัยนั้น) นำเงินจากสหกรณ์ไปแบบผิดกฎหมาย โดยนำไปใช้หรือบริจาคตามที่ต่าง ๆ รวมเกือบ 12,000 ล้านบาทนู่น
คดีของสหกรณ์แบบนี้ เจ้าทุกข์ คือ กรรมการตัวแทนสหกรณ์จึงจะมีสิทธิ์ฟ้องร้องได้ (สมาชิกฟ้องไม่ได้) กรรมการจึงฟ้องศุภชัยว่าเป็นคน "ยักยอกทรัพย์" ของสหกรณ์
จากนั้นคดีก็ดำเนินไป ซึ่งคดีนี้จัดเป็นคดีที่ยอมความกันได้ ถ้ามีการชดใช้คืน แต่ถ้าไม่คืนแล้วผิดจริงก็ติดคุก...จบ
นี่คือคดีเดียวที่สหกรณ์ฟ้องศุภชัย ส่วนที่ยอมความได้แล้วก็ยอมความไป ที่ยังไม่ก็ดำเนินคดีไปตามปกติ
>>>ถามว่าคดีนี้จะโยงมาถึงธรรมกายหรือพระธัมมชโยได้ไหม?
ตอบว่า ไม่ได้ เพราะ ไม่มีเอกสาร, คน, พระ, พฤติกรรม หรือส่วนไหนของวัดมาเกี่ยวข้องกับการบริหารสหกรณ์เลยตั้งแต่ปี 2551-2556
สรุป คือวัดไม่รู้เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นภายในสหกรณ์...จบ
ย้อนอดีตไปสมัยวัดนี้สร้างใหม่ ๆ เรื่องแรก ๆ ที่เขาโยนให้คือเป็น 'คอมมิวนิสต์' เพราะเจ้าอาวาสวิสัยทัศน์กว้างไกล ชวนนิสิตนักศึกษามาบวชได้เป็นจำนวนมาก ตอนนั้นรัฐบาลระแวงว่าอาจจะปลุกระดมจนเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ จึงถวายความเป็นคอมมิวนิสต์มาให้ ดีที่พระท่านไม่ได้รับประเคน
วัดเติบโตรวดเร็ว เจ้าหน้าที่วัด ทั้งพระ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ญาติโยม เพิ่มจำนวนเป็นทวีคูณภายในเวลา 40 กว่าปี จากร้อยเป็นพัน พันเป็นหมื่น หมื่นเป็นแสน แสนเป็นล้าน และสยายปีกมีศูนย์สาขาไปเผยแผ่พุทธศาสนาทั้งในและนานาประเทศ อย่างที่ไม่เคยมีวัดไหน คณะสงฆ์ หรือรัฐบาลใดทำได้มาก่อน
>>>ความเจริญเหล่านั้น เหมือนแสงจ้าที่แยงตาใครบ้างไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ คือหน่วยงานความมั่นคง ถึงขนาดส่งคนเข้ามาบวชปะปนอยู่ในวัด แต่ไม่พบอะไร แต่ความระแวงสงสัยยังไม่เคยสิ้นสุด
ความรุ่งเรืองของวัดเกิดคู่ไปกับปัญหาและข้อหาที่ถาโถมมาเป็นระยะ ตั้งแต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ไล่ที่ชาวนา เจ้าอาวาสโกงที่ดินวัด อวดอุตริมนุสสธรรม คำสอนผิดเพี้ยน เป็นพุทธเทียมที่ทำลายศาสนา โดนรุมยำทั้งจากฝ่ายการเมือง พระที่ไม่ชอบธรรมกาย นักวิชาการศาสนาบางคน สื่อบางฉบับ และโทรทัศน์บางช่อง แต่ธรรมกายก็ยังหยัดยืนอยู่ได้ เรียกว่า "จับไม่มั่น คั้นไม่ตาย" ก็แล้วกัน
จนมาถึงวันนี้ ซึ่งคงเป็นสถานการณ์ที่หนักที่สุดที่ธรรมกายเคยโดนมา คือ 'คดีเจ้าอาวาสรับของโจรและฟอกเงิน'
เรื่องราวตลอด 47 ปีมานี้ จะว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยคงไม่ได้ ใครหนอ ที่อยากรุมทึ้งธรรมกายให้ตายอย่างนี้
จะว่าเป็นภัยต่อ 3 สถาบันหลัก คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็ไม่ใช่
แล้วเป็นภัยต่ออะไรกัน ?
ผมเดานะ ว่าคงต่อ "อำนาจ" ของกลุ่มอิทธิพลบางอย่างในประเทศนี้ ไม่ว่าจะการเมือง วงการศาสนา ฯ เพราะอำนาจนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่จะได้รับ
ยิ่งผู้คนศรัทธาหลั่งไหลเข้ามามากเท่าไหร่ ยิ่งมีทีมงานและการจัดการเข้มแข็งมากเท่าไหร่ ยิ่งมีทุนมากเท่าไหร่ ยิ่งขยายสาขา มีคอนเน็กชั่นทั้งในและนอกประเทศมากเท่าไหร่ ธรรมกายก็เหมือนหนามยอกอก เป็นมีดกรีดขั้วหัวใจ สร้างความระแวง ท้าทายพวกกระหายอำนาจที่หวังผลประโยชน์โดยไม่รู้ตัว
ผมไม่รู้ว่าอำนาจของใคร ฝ่ายไหน แต่แน่ใจว่าธรรมกายถูกลากเข้าไปสู่วังวนนี้แล้วอย่างแน่นอน แม้จะเป็นองค์กรในพุทธศาสนาที่ชื่อว่าสันติที่สุดในโลก ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ไม่เคยทำสงครามกับใคร มีแต่ถูกไล่ล่า ยิ่งในเมืองไทย วัดพุทธไม่เคยเป็นต้นเหตุทำร้ายใครมาตั้งแต่สุโขทัยเป็นราชธานี
แต่เพราะมนุษย์บางพวกโลภมาก บ้าอำนาจไม่รู้จบ ธรรมกายจึงไม่เคยได้สงบจริง ๆ สักที วันดีคืนดีก็ถูกโยนขี้ใส่ร้ายป้ายสีสักทีนึง
อย่างที่ธรรมกายโดนอยู่ในปัจจุบัน ถ้าศึกษาสังเกตกันสักหน่อย ไม่ใช่คนปัญญาง่อยเชื่ออะไรง่ายเกินไป ก็จะเห็นความแปลกประหลาด ความไม่ชอบมาพากล ความไร้เหตุไร้ผลในหลายเรื่องเลย
>>> มาสิ...ผมจะเล่าเรื่องประหลาดเหล่านี้ให้ฟัง <<<
1. คดีประหลาด รับของโจร ฟอกเงิน (ค่อย ๆ ทำความเข้าใจนะครับ)
เรื่องเกิดตั้งแต่ปี 2551-2556 นายศุภชัย (ผู้บริหารสหกรณ์คลองจั่นสมัยนั้น) นำเงินจากสหกรณ์ไปแบบผิดกฎหมาย โดยนำไปใช้หรือบริจาคตามที่ต่าง ๆ รวมเกือบ 12,000 ล้านบาทนู่น
คดีของสหกรณ์แบบนี้ เจ้าทุกข์ คือ กรรมการตัวแทนสหกรณ์จึงจะมีสิทธิ์ฟ้องร้องได้ (สมาชิกฟ้องไม่ได้) กรรมการจึงฟ้องศุภชัยว่าเป็นคน "ยักยอกทรัพย์" ของสหกรณ์
จากนั้นคดีก็ดำเนินไป ซึ่งคดีนี้จัดเป็นคดีที่ยอมความกันได้ ถ้ามีการชดใช้คืน แต่ถ้าไม่คืนแล้วผิดจริงก็ติดคุก...จบ
นี่คือคดีเดียวที่สหกรณ์ฟ้องศุภชัย ส่วนที่ยอมความได้แล้วก็ยอมความไป ที่ยังไม่ก็ดำเนินคดีไปตามปกติ
>>>ถามว่าคดีนี้จะโยงมาถึงธรรมกายหรือพระธัมมชโยได้ไหม?
ตอบว่า ไม่ได้ เพราะ ไม่มีเอกสาร, คน, พระ, พฤติกรรม หรือส่วนไหนของวัดมาเกี่ยวข้องกับการบริหารสหกรณ์เลยตั้งแต่ปี 2551-2556
สรุป คือวัดไม่รู้เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นภายในสหกรณ์...จบ
......(คดีที่ 1).....
แต่ปี 2556 สมาชิกสหกรณ์ (ซึ่งไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง ฟ้องเองไม่ได้) ร้องทุกข์กับ DSI ว่าถูกศุภชัย "ยักยอกทรัพย์" ซ้ำคดีเดิมอีก
จนหลังปฏิวัติในปี 2557 นี่แหละ จึงมีพลังพิเศษทำให้เกิดมหากาพย์ธรรมกาย โยงใยอีรุงตุงนังขึ้นมาอย่างไม่น่าเป็นไปได้ จัดเป็น Amazing Thailand สบาย ๆ เลยก็แล้วกัน
โดยคดีที่ 1 "ยักยอกทรัพย์" นั้น อัยการไม่รู้ไปได้การ์ดพลังจากไหน
ก.พ. 2558 จึงแจ้งข้อหาศุภชัยเพิ่มจากยักยอกทรัพย์ เป็น "ลักทรัพย์ / ปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอม" ขึ้นมา ที่เพิ่มเพราะสมาชิกสหกรณ์จะมีสิทธิ์ฟ้องได้ แต่มาจนถึง มีนาคม 2560 อัยการก็ยังไม่ได้ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลเลย
>>>ถามว่าทำไมต้องแจ้งข้อหาเพิ่มเป็นลักทรัพย์ ?
ก็เพราะว่าถ้ายักยอกทรัพย์ เรื่องมันมาไม่ถึงธรรมกายไง แต่พอเพิ่มตรงนี้ให้ ก็เป็นช่องให้ตั้งข้อหา "รับของโจร" กับพระธัมมชโยได้สะดวกเลย
....(คดีที่ 2)....
ปลายปี 2557 สมาชิกสหกรณ์อีกกลุ่มแจ้งความ จน DSI แจ้งข้อหาศุภชัยว่า "ฉ้อโกงประชาชน" ซึ่งข้อหานี้บ้ามาก เพราะสมาชิกไม่ได้ฝากเงินกับศุภชัยหรือพวกโดยตรง แต่ไปฝากกับสหกรณ์ ศุภชัยจึงไม่ถือว่าฉ้อโกงประชาชน คนที่ควรถูกฟ้องคือสหกรณ์ที่เป็นนิติบุคคลต่างหาก เพราะสมาชิกฝากเงินที่นั่น มันเป็นเรื่องโคตรแปลก ที่คนที่ควรถูกฟ้องไม่โดนฟ้อง แต่คนไม่ควรถูกฟ้องกลับโดนแทน
>>>ถามว่าทำไม DSI จึงตั้งคดีกับศุภชัยแทนที่จะเป็นสหกรณ์ ?
ก็เพราะถ้าตั้งคดีกับสหกรณ์ เรื่องมันจะมาไม่ถึงธรรมกายไง แต่ถ้าเอาคดีให้ศุภชัย ก็มีช่องให้โยงไปเล่นงานธรรมกายหรือพระธัมมชโยเรื่องฟอกเงินได้ด้วย
หนักกว่านั้น เพื่อความเมามัน ปลายปี 2558-2559 DSI ตั้งใจแยกสำนวนคดีฟอกเงินที่ว่าออกเป็น 9 สำนวนคดี ทั้งที่ทำเป็นคดีเดียวก็ได้
>>>เพื่ออะไร ?
น่าจะเพื่อเน้นในบางคดี เอามาตีข่าวให้มันดัง ๆ จะได้โยงใยไปจัดการธรรมกายกับพระธัมมชโยได้ถนัดมือนั่นเอง
ทั้ง 2 คดีที่ว่า กลายเป็นคดีพิเศษที่ 27/2559 ที่ DSI ใช้เล่นงานธรรมกายในปัจจุบัน
แต่ประหลาดมาก เพราะพอไปดูคำพิพากษาฎีกาที่ผ่านมา ผู้บริหารสหกรณ์ที่โกงเงินแบบศุภชัยนั้น ไม่เคยมีความผิดฐานลักทรัพย์ (เพราะไม่ได้ลักสมาชิก) หรือฉ้อโกงประชาชน (เพราะไม่ได้โกงสมาชิก) แต่จะผิดเพราะ "ยักยอกทรัพย์" สหกรณ์ กี่ร้อยกี่พันคดีก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น (แต่มันจะไปไม่ถึงธรรมกายไง)
***ที่ประหลาดกว่านั้น คือ***
คดีที่ 1 - นายศุภชัยลักทรัพย์ อัยการยังไม่ได้ยื่นฟ้องศาล
คดีที่ 2 - นายศุภชัยฉ้อโกงประชาชน อัยการฟ้องแล้ว แต่ยังทำเอกสารไม่พร้อม ยังไม่ได้สืบพยาน คดียังไม่ตัดสิน ยังไม่ถึงที่สุดว่าผิด ศาลนัดตรวจพยานวันที่ 1 พ.ค. 2560 โน่น
แต่ DSI เขาทำงานไวกว่าแสง ของเก่ายังไม่ได้ทำอะไร ก็รีบเร่งเอาคดี 27/2559 ที่ต้องรอคดีที่ 1 และ 2 เสร็จก่อนขึ้นมาเล่นงานพระธัมมชโยไปพลาง ๆ
เพื่ออะไรครับ ?
ศาลถามทนายของนายศุภชัยและอัยการว่า คดี "ลักทรัพย์" กับ "ฉ้อโกงประชาชน" สองคดีแรกที่เป็นต้นตอของคดี 27/2559 ศาลยังไม่ได้เริ่มพิจารณาตัดสินเลยสักศาลเดียว ไม่ว่าจะศาลชั้นต้น อุทธรณ์ ฎีกา และยังไม่รู้เลยว่าผลจะเป็นอย่างไร
***แล้วจะให้ศาลไปตัดสินคดีปลายทาง คือ พระธัมมชโย "รับของโจร" และ "ฟอกเงิน" ก่อนได้อย่างไรกัน (อัยการเห็นสำนวนคดีก็ส่ายหน้า บอกให้ไปหาหลักฐานมาเพิ่มเติม)
พูดบ้าน ๆ คือศาลก็งงอิ๋บอ๋ายเลยครับท่านผู้ชม
สรุป คือ คดี นายศุภชัย "ลักทรัพย์" กับ "ฉ้อโกงประชาชน" ต้องจบและถึงที่สุดก่อนว่าผิด (อีกกี่ปีไม่รู้) แล้วจึงจะมาเริ่มคดี พระธัมมชโย "รับของโจร" และ "ฟอกเงิน" ได้ ซึ่ง DSI หรือใครไม่รู้คงไม่อยากรอ
เพราะอะไร ?
ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ใครตอบได้มีรางวัลให้นะ
ต้องขอจบคดีประหลาด ที่ 'DSI' เจ้าของสโลแกน "ความยุติธรรม...ที่พึ่งได้" กำลังทำไปเท่านี้ก่อน
ฮ่า ๆ ๆ ยุติธรรม...ตูอยากจะขำให้ลิ้นไก่ปลิว
(ไว้รออ่านเรื่องประหลาดตอน 2 นะ Coming soon)
คมความคิด
19 มีนาคม 2560
คดีที่ 1 - นายศุภชัยลักทรัพย์ อัยการยังไม่ได้ยื่นฟ้องศาล
คดีที่ 2 - นายศุภชัยฉ้อโกงประชาชน อัยการฟ้องแล้ว แต่ยังทำเอกสารไม่พร้อม ยังไม่ได้สืบพยาน คดียังไม่ตัดสิน ยังไม่ถึงที่สุดว่าผิด ศาลนัดตรวจพยานวันที่ 1 พ.ค. 2560 โน่น
แต่ DSI เขาทำงานไวกว่าแสง ของเก่ายังไม่ได้ทำอะไร ก็รีบเร่งเอาคดี 27/2559 ที่ต้องรอคดีที่ 1 และ 2 เสร็จก่อนขึ้นมาเล่นงานพระธัมมชโยไปพลาง ๆ
เพื่ออะไรครับ ?
ศาลถามทนายของนายศุภชัยและอัยการว่า คดี "ลักทรัพย์" กับ "ฉ้อโกงประชาชน" สองคดีแรกที่เป็นต้นตอของคดี 27/2559 ศาลยังไม่ได้เริ่มพิจารณาตัดสินเลยสักศาลเดียว ไม่ว่าจะศาลชั้นต้น อุทธรณ์ ฎีกา และยังไม่รู้เลยว่าผลจะเป็นอย่างไร
***แล้วจะให้ศาลไปตัดสินคดีปลายทาง คือ พระธัมมชโย "รับของโจร" และ "ฟอกเงิน" ก่อนได้อย่างไรกัน (อัยการเห็นสำนวนคดีก็ส่ายหน้า บอกให้ไปหาหลักฐานมาเพิ่มเติม)
พูดบ้าน ๆ คือศาลก็งงอิ๋บอ๋ายเลยครับท่านผู้ชม
สรุป คือ คดี นายศุภชัย "ลักทรัพย์" กับ "ฉ้อโกงประชาชน" ต้องจบและถึงที่สุดก่อนว่าผิด (อีกกี่ปีไม่รู้) แล้วจึงจะมาเริ่มคดี พระธัมมชโย "รับของโจร" และ "ฟอกเงิน" ได้ ซึ่ง DSI หรือใครไม่รู้คงไม่อยากรอ
เพราะอะไร ?
ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ใครตอบได้มีรางวัลให้นะ
ต้องขอจบคดีประหลาด ที่ 'DSI' เจ้าของสโลแกน "ความยุติธรรม...ที่พึ่งได้" กำลังทำไปเท่านี้ก่อน
ฮ่า ๆ ๆ ยุติธรรม...ตูอยากจะขำให้ลิ้นไก่ปลิว
(ไว้รออ่านเรื่องประหลาดตอน 2 นะ Coming soon)
คมความคิด
19 มีนาคม 2560
เรื่องประหลาดที่เกิดกับ "ธรรมกาย" (ตอนที่ 1)
Reviewed by bombom55
on
20:50
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: