เรื่องประหลาดที่เกิดกับ "ธรรมกาย" (ตอนที่ 2)


เรื่องประหลาดที่เกิดกับ "ธรรมกาย" 
(ตอนที่ 2)



ในตอนที่ 1 เล่าถึง "คดีประหลาด" ให้ฟัง เพราะมันเป็นต้นเรื่องทั้งหมดของมหากาพย์ธรรมกาย ที่ส่งผลบานปลายมาถึงวันนี้

คล้ายเมล็ดโพธิ์เมล็ดไทร คือจากเล็ก ๆ ก็แตกกิ่งก้านสาขาเติบใหญ่ เหมือน "คดีประหลาด" ที่ส่งผลลุกลามมาถึงพระธัมมชโย พระลูกวัด ญาติโยม ชาวบ้าน วัดสาขา องค์กรทางสงฆ์ สำนักงานพระพุทธศาสนา ไปจนถึงองค์กรพุทธนานาชาติ และลามไปถึง UN

ถ้าคดีเกิดตอนที่ประเทศเป็นประชาธิปไตย ทหารไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดขนาดนี้ คดีสหกรณ์คลองจั่นคงจะเป็นคดี "ยักยอกทรัพย์" เหมือนคดีที่เคยเกิดกับสหกรณ์ หรือสถาบันการเงินอื่น ๆ ทั่วไป คล้ายคดี ราเกซ สักเสนา ยักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ จำกัด (บีบีซี) เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว

คดี "ยักยอกทรัพย์" จะกลายพันธุ์มาเป็น "ลักทรัพย์" ตามด้วย "รับของโจร" หรือจาก "ฉ้อโกง" แล้วตามด้วย "ฟอกเงิน" ไม่ได้เลย

ถ้าได้ ก็จะเกิดปรากฏการณ์ใหม่ในระบบศาลเมืองไทย เพราะต้องสร้างคำพิพากษาฎีกาขึ้นมาใหม่ เนื่องจากยังไม่เคยมีความผิดในสหกรณ์ไหน ๆ ในประเทศไทย ที่กรรมการมีความผิดฐานลักทรัพย์หรือฉ้อโกงประชาชนมาก่อนเลย...แต่ยุคเผด็จการทหารก็ต้องทำใจ อะไรก็เกิดได้ทั้งนั้นแหละ

เรื่องนี้สำคัญมากครับ เพราะมันเป็นข้อกำหนดทางกฎหมาย ถ้าเริ่มต้นผิดได้ อย่างอื่นก็ผิดตามไปหมด

มาดูนิยามคำกันนะครับ

"ลักทรัพย์" คืออะไร คือการเอาทรัพย์ที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ เช่น นาย ก.จี้เอาเงินนาย ข. หรือ นาย ก. ขโมยเงินนาย ข. ไป คดีแบบนี้เป็นคดีอาญา ที่ยอมความไม่ได้ นาย ข. จะเอาเรื่องหรือไม่ นาย ก. ก็ถูกดำเนินคดีอยู่ดี

"ยักยอก" คืออะไร คือการได้ทรัพย์นั้นมาไว้กับตัวก่อน จากนั้นเบียดบังเอาไป เช่น นาย ก. เป็นเพื่อนกับนาย ข. นาย ก.จึงเอาสร้อยทองมาฝากนาย ข. ไว้ แล้วตัวเองไปทำธุระ (สร้อยมาอยู่ในความดูแลของนาย ข. โดยความเต็มใจของนาย ก. ไม่ได้บังคับขู่เข็ญมา)

จากนั้นนาย ข. เอาสร้อยทองนี้ไปขาย นาย ก.กลับมาทวงสร้อยคืน แต่นาย ข.ไม่คืนให้ อย่างนี้เรียกว่า นาย ข.ยักยอกทรัพย์นาย ก. ไป เป็นคดีอาญาที่ยอมความได้ คืออาจไกล่เกลี่ย เช่น นาย ข. หาเงินมาคืนให้ ส่วนนาย ก.ไม่ติดใจแจ้งความ คดีก็จบ

คราวนี้มาดูกรณีสหกรณ์

นาย ก. (สมาชิก) ฝากเงินเพื่อหวังผลจากดอกเบี้ยกับ นาย. ข (สหกรณ์ ; เพราะสหกรณ์เป็นนิติบุคคล คือมีสภาพเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง) แต่แม้นาย ข. จะถูกสมมุติว่าเป็นบุคคล แต่เพราะไม่มีชีวิต จึงต้องหาคนมาทำหน้าที่แทนนาย ข. ซึ่งคือ นาย ค. (ศุภชัย และกรรมการสหกรณ์ทั้งหลาย) จากนั้นศุภชัย (นาย ค.) ก็เบียดบังเอาทรัพย์ของนาย ข.ไป พอนาย ก. มาเบิกเงินคืนจากนาย ข. นาย ข. ไม่มีให้ เพราะถูกนาย ค. เอาเงินไปแล้ว

ถามว่า นาย ค. "ลักทรัพย์" หรือ "ยักยอกทรัพย์" ครับ (อย่าเพิ่งปวดหัวนะครับ เรื่องนี้สำคัญ)

➠ คำตอบคือมันเข้าเกณฑ์  "ยักยอกทรัพย์" ไม่ใช่ "ลักทรัพย์"

 และโดยกฎหมายการยักยอกทรัพย์ คนที่เสียหาย เป็นคู่กรณีกัน คือ นาย ข. (สหกรณ์) กับนาย ค. (ศุภชัย) นาย ก. ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงจึงฟ้องนาย ค.ไม่ได้

 แต่พอ DSI พิศดารคดีให้เป็นลักทรัพย์ (อย่างที่มั่วทำอยู่) นาย ก. จะมีสิทธิ์ฟ้องนาย ค. ได้ (แต่ไหงไม่ฟ้องนาย ข. ที่ไม่รู้จักระวังเนาะ)

พอติดกระดุมเม็ดแรกผิด คราวนี้เม็ดต่อไปก็ผิดมั่วใหญ่เลยครับ คือขยายจากลักทรัพย์ ไปสู่พระธัมมชโยรับของโจร ซึ่งที่จริงก็ไม่เข้าเกณฑ์อีก เพราะไม่มีพระ, วัด หรือองค์กรการกุศลใด ต้องสอบถามว่าเงินบริจาคมาจากไหน มันไม่ใช่หน้าที่ ถึงถามก็ไม่มีทางรู้ นอกจากตามไปดูเส้นทางเงินของเขา มีวัดหรือองค์กรไหนในโลกเขาทำบ้างครับ

ถ้าใครเจอพวกชอบถามว่าทำไมวัดไม่ถามที่มาของเงิน

ไม่ต้องตอบอะไรครับ แค่ถามมันกลับไปว่า "มีวัด หรือองกรค์การกุศลใดในโลก ที่รับบริจาคโดยถามที่มาของเงินกับผู้บริจาคบ้าง" ก็พอ ให้มันหามา


 คดี "รับของโจร" จึงเป็นไปไม่ได้




ส่วน "ฉ้อโกงประชาชน" ก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน เพราะศุภชัย (นาย ค.) ไม่เคยไปหลอก หรือทำให้สมาชิก (นาย ก.) หลงเชื่อจนมาฝากเงินกับตัวเองเลยสักบาท มีแต่นาย ก. เอาไปฝากสหกรณ์ (นาย ข.) ด้วยความเต็มใจ

 ถ้าจะกล่าวหาว่าฉ้อโกง สหกรณ์ (นาย ข.) ควรจะโดนมากกว่า แต่แปลกที่หวยดันไปออกที่ศุภชัย (นาย ค.) บ้าไหมครับท่านผู้ชม


 จากนั้นกลายเป็น "ฟอกเงิน" ได้ไหม...

ไม่ได้อีกนั่นแหละ

ทำไม ?

ก็ฟอกเงิน มันคือเงินที่ได้มาผิดกฎหมาย ไม่สามารถบอกที่มาที่ไปได้ ต้องอำพรางปิดบังไว้ไม่ให้ใครรู้ เช่น เงินค้ายาเสพติด เงินจากการค้าประเวณี ลักลอบหนีศุลกากร ก่อการร้าย แล้วนำเงินนี้ไปผ่านระบบต่าง ๆ ที่ถูกกฎหมาย เช่น ให้บุคคลใกล้ชิด บริษัทบังหน้า ธนาคาร หุ้น เป็นต้น เพื่อให้เงินนั้นกลับมาหาตนอย่างถูกกฎหมาย

แต่กรณีศุภชัย เงินที่ยักยอกมามันชัดอยู่แล้วว่าได้มาอย่างไร ตรวจสอบทางเอกสารได้ ก็เหมือนที่ DSI ไปตามรู้ไง ว่าสหกรณ์โอนเงินไปให้ศุภชัยเท่าไหร่ ศุภชัยเขียนเช็ค จ่ายเงินไปให้ใครบ้าง คือตามได้หมดทุกอย่าง

 ซึ่งแบบนี้มันไม่ใช่การฟอกเงินแล้ว แต่เป็นยักยอกไปใช้จ่ายหรือลงทุนแสวงหาผลกำไร

การฟอกเงิน เงินมันต้องกลับมาหาคนฟอกอีกครั้ง เหมือนเราเอาเสื้อผ้าสกปรกของเราไปซัก สะอาดแล้วเสื้อก็กลับมาเป็นของเราเหมือนเดิม เงินที่จะฟอกเหมือนกัน เงินมันมาจากทางทุจริต สกปรก แล้วเอาไปผ่านกระบวนการที่สุจริต สะอาด ได้เงินที่ฟอกสะอาดกลับมาหาตัว

➠ เงินที่ศุภชัยบริจาคจ่ายเป็นเช็ค (ฟอกเงินใครเขาเขียนเช็คกันเล่า) ให้การกุศล เช่นวัดธรรมกาย กาชาด โรงเรียน เขาเอาเงินไปใช้สร้างศาสนสถาน เป็นค่าใช้จ่าย เป็นทุนการศึกษา ซึ่งแปลงกลับมาเป็นเงินอีกไม่ได้ จึงไม่ใช่การฟอกเงิน



แล้วตั้งคดีมาได้อย่างไร ?


ก็เพราะมันเป็นคดีพิเศษไง DSI จึงมีอัยการพิเศษมาคอยช่วย เพื่อความเรียบร้อยรวดเร็วในการดำเนินคดี

DSI กับอัยการพิเศษจึงเป็นคู่ซี้กัน คิดไปทิศทางเดียวกัน เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย แต่กับผลงานประหลาดที่ทำมา ควรเรียกคู่นี้ว่า "ผีเน่ากับโลงผุ" จะเหมาะกว่าเยอะเลย

ผลงานหลัก ๆ ของ DSI กับอัยการพิเศษมี 13 คดี ศาลตัดสินไปแล้ว 1 คดี คือที่ศุภชัยยักยอกทรัพย์สหกรณ์ไป 27 ล้าน ศาลสั่งจำคุก 16 ปี (ยักยอกทรัพย์ ตัดสินง่าย ไม่มีใครท้วงติง)

ส่วนอีก 12 คดี ยังไม่ไปถึงไหน ไม่ว่าจะลักทรัพย์ ฉ้อโกงประชาชน รับของโจร ฟอกเงิน

อย่างของพระธัมมชโย อัยการพิเศษส่งฟ้องไป เขาก็ตีกลับมา ว่าให้ไปหาหลักฐานมาเพิ่มเติม DSI ก็เกิดองค์ลง ปิดวัดไล่ล่าอีรุงตุงนังอย่างที่เห็นกัน

คดีศุภชัยเมื่อไปถึงศาล ผมว่าแค่เริ่มสู้กันเรื่องนิยามว่าตกลงมันคือ "ลักทรัพย์" หรือ "ยักยอกทรัพย์" ก็สนุกแล้วละครับท่านผู้ชม

➠ หรือเมื่อคดี "รับของโจร" กับ "ฟอกเงิน" ของพระธัมมชโยไปถึงศาล ก็น่าสนุกว่าศาลจะตัดสินได้อย่างไร ในเมื่อคดีที่เป็นมูลต้นเรื่องของศุภชัยยังไม่ได้ตัดสินเลย

➠ DSI กับอัยการพิเศษก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ เขาคงยังไม่อยากให้คดีไปถึงศาล เพราะรู้ว่าจะแพ้คาบ้านตั้งแต่ตีนบันได การตั้งคดีก็แค่อ้างเหตุมาใช้เพื่อการอื่นซะมากกว่า เช่น จับสึก อายัดทรัพย์ หรือหาคนมาบริหารจัดการวัดและทรัพย์สินแทน

 เราจึงเห็นการทุ่มสรรพกำลัง งบประมาณ แนวร่วม ทั้งภาครัฐ, พระ, ดารา, นักร้อง, นักแต่งเพลง, อาจารย์, ไพบูลย์ นิติตะวัน, นายมโน เจ้าของฟาร์มแกะ มาเร้ากระแสรุมยำธรรมกาย

 พูดให้ง่าย คือ หวังทำลายวัดพระธรรมกาย จะได้ไม่ต้องระแวงว่าจะเป็นเครือข่ายอำนาจให้ฝ่ายตรงข้ามกับตัว

ผมว่า DSI (กับพวกที่บงการ) ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพแค่ล่อนจ้อน แต่อยู่ในสภาพตัวใส ไส้เล็กไส้ใหญ่มีกี่ขดเห็นกันปรุโปร่งหมดเลย


...........................


จากคดีประหลาด ทำให้เกิดเรื่องประหลาดอื่นตามมา เช่น

DSI แก้ปัญหาได้ประหลาดมาก

สมมุติว่าถ้าผมเป็นอธิบดี DSI (แค่นึกยังขนลุก 555) ผมจะจัดการคดีสหกรณ์คลองจั่นอย่างไรดี ?

ผมคิดอย่างนี้ครับ...

- เรื่องสำคัญที่สุดคือการตามเงินกลับมาให้มากและเร็วที่สุดก่อน เพราะคนเดือดร้อนที่สุดคือสมาชิกที่ฝากเงินกับสหกรณ์

- เมื่อมีเงินพอ สหกรณ์จะไม่ล้ม สหกรณ์จะสามารถหาเงินมาใช้คืนสมาชิกในระยะยาวได้ต่อไป

- ส่วนคนผิด ก็ส่งเข้ากระบวนการยุติธรรม แล้วแต่ศาลท่านพิจารณา หน้าที่เราก็จบลง

➠ ถ้าไม่ทำแบบนี้ ผลคือ นอกจากสมาชิกจะไม่ได้เงินคืนแล้ว สหกรณ์ยังจะล้มละลายด้วย ต่อให้ศุภชัยหรือใครต่อใครติดคุกก็ไร้ประโยชน์

เพราะอย่างนี้ ผมในฐานะอธิบดี (ขนลุกอีกครั้ง) จะระดมกำลังติดตามว่าเงินทั้งหมดอยู่ที่ไหน สมมุติว่าไหลไป 50 ช่องทาง ก็กระจายเจ้าหน้าที่ไปทั้ง 50 ทางนั้นทันที วินาทีเดียวก็รอไม่ได้ (พูดซะหล่อเลย อย่าลืมว่าผมเป็นอธิบดี หน้าที่หล่อนี่ของผมครับ 555)

เงินไปที่คน นิติบุคคล บริษัท หุ้น สหกรณ์อื่น วัด องค์กรการกุศล โรงเรียน ถ้ายังไม่ได้ใช้ก็อายัดไว้ก่อน ส่วนไหนที่ใช้ไปแล้วเอาคืนมาได้ ก็เอาคืนมา ตรงไหนเอามาไม่ได้ ค่อยดูว่าจะใช้วิธีอื่นใดช่วยดี

ตัวอย่างธรรมกาย ศุภชัยบริจาคประมาณ 1,000 ล้าน ปปง.เข้ามาตรวจสอบเส้นทางเงิน พบว่านำไปสร้างศาสนสถาน โดยกฎหมายเอาคืนไม่ได้แล้ว...จบกันไป

ที่อื่นล่ะ เอาคืนได้-ไม่ได้-ได้บางส่วน หรือเจรจาได้ ก็ทำไปให้สุดทุกทาง แล้วรวมเงินกลับมาให้สหกรณ์

จากนั้นก็ทำสิ่งที่ทำช้าได้ คือ ฟ้องผู้กระทำความผิด หรือสงสัยว่าร่วมทำความผิดต่อไป

ผลงานขนาดนี้ อนาคต ผบ.ตร. คงไม่หนีไปไหนแน่นอน 555




 แต่มาดูการแก้ไขด้วยวิธีประหลาดที่ DSI ทำสิครับ

เช็คและเงินสดที่ถูกโอนไปที่ต่าง ๆ DSI ตามไปอายัดคืนมาได้ 3,800 ล้านบาท (อันนี้เก่ง ต้องชม) แต่อาจมีสะดุดบ้างเรื่องซื้อขายที่ดินของศุภชัย แล้วมีมุบมิบเงินบางส่วนไป โดยมีเจ้าหน้าที่ DSI เข้าไปเอี่ยวด้วย (อันนี้ชั่ว ต้องด่า 555)

ส่วนคดีที่ค้างอยู่ 12 คดี ยังไม่คืบหน้าไปไหน คงใช้เวลาอีกนาน ก็ต้องตามให้สุดทางต่อไป

ของธรรมกายล่ะ... DSI ตามไปสุดทางหรือยัง ?

สุดแล้วครับ

คือ เงินที่ศุภชัยบริจาคมาให้พระ ให้วัด จะเป็นรับของโจรไม่ได้ เพราะไม่มีวัดที่ไหนเขาถามผู้บริจาคกัน พระ - วัด จึงไม่มีทางรู้ว่าเป็นเงินโจร...จบ

ส่วนฟอกเงินก็เป็นไม่ได้ เพราะ ปปง.สอบแล้วว่าเงินเหล่านั้นกลายไปเป็นศาสนสถาน ซึ่งเป็นสมบัติวัด ศุภชัยก็เอาไปขายไม่ได้ พระธัมมชโยก็ขายไม่ได้ เงินจึงไม่ได้ถูกฟอก...จบ

สุดทางจนตันแล้ว DSI ควรถอนกำลังไปตามเงินในทางอื่นที่ค้างอยู่ต่อไป

แต่โชคดีที่แม้ธรรมกายจะไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ลูกศิษย์ยังช่วยรวมเงินคืนให้สหกรณ์ประมาณ 1000 ล้านบาท เต็มจำนวน

คุณคงคิดว่าสหกรณ์น่าจะสบายใช่ไหมครับ เพราะ DSI อายัดมาได้ 3,800 ล้าน กับของศิษย์วัดอีก 1,000 ล้าน รวม 4,800 ล้าน ซึ่งคุณประกิต พิลังกาสา ประธานกรรมการ ในฐานะที่เป็นผู้ฟื้นฟูกิจการสหกรณ์ จะนำไปจ่ายคืนให้สมาชิกปีละ 2 งวด ๆ ละ 600 ล้าน (ปีละ 1,200 ล้าน)

เงิน 4,800 ล้าน จึงเพียงพอให้สหกรณ์มีเวลาหายใจ และแก้ไขปัญหาไปได้อีก 4 ปี สหกรณ์น่าจะพอมีทางรอด

➠ แต่ในความเป็นจริง DSI กลับแก้ปัญหานี้ได้ประหลาดมากครับ

1. เงิน 3,800 ล้านบาท ที่อายัดจากศุภชัยและพวกไว้ อัยการและ DSI ไม่ส่งคืนสหกรณ์ เพราะจะยึดไว้เป็นของกลางในคดีอาญา (แต่คุณประกิต พิลังกาสา อ้างถึงคำของผู้พิพากษาอาวุโสว่า เงินนี้เป็นหลักฐานในคดีแพ่ง ไม่จำเป็นต้องเอาไว้เป็นของกลาง สามารถคืนมาได้เลย)

ขนาด รมต.ยุติธรรม และปลัดกระทรวงยุติธรรมลงมาเร่งเรื่องให้ แต่อัยการพิเศษกับ DSI ก็ยังตัดสินใจไม่คืน (เก็บไว้ทำไมครับ)

อีกเหตุผล คือ DSI ถูกสมาชิกสหกรณ์กลุ่มหนึ่งคัดค้านไว้ ซึ่งคุณประกิตแกก็งงว่าพวกนี้มีวัตถุประสงค์อะไร แล้วทำไม DSI ถึงต้องฟังคนกลุ่มนี้...

ไม่ต้องมองหน้าผม ผมก็อึ้งและงงเหมือนพี่นั่นแหละ 555


➠ 3,800 ล้านตอนนี้สำคัญอย่างไร ?

สำคัญมาก เพราะสหกรณ์นำเงิน 1,000 ล้านของธรรมกายกับของสหกรณ์จ่ายให้สมาชิกไป 2 งวดในปี 2559

ปีนี้ 2560 ต้องจ่ายงวดแรกเดือนมิถุนายน แต่สหกรณ์มีเงินเหลือแค่ 200 ล้านบาท เงิน 3,800 ล้านนั้นจึงเป็นลมหายใจ ว่าสหกรณ์จะเป็นหรือตาย ซึ่งแนวโน้มไปในทางว่า DSI จะไม่ให้คืน ซึ่งหมายถึงสหกรณ์จะต้องล้มครืน คือ 'ล้มละลาย'

DSI ยินดีเห็นสหกรณ์ตาย สมาชิกไม่ได้เงิน ดีกว่าคืนเงินให้สหกรณ์...โอ้ คิดอะไรอยู่ครับเนี่ย

คุณประกิตแกบอกว่า เมื่อสหกรณ์ต้องล่มสลาย ก็ต้องฟ้อง อัยการและ DSI ต่อศาลอาญา ให้ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า สหกรณ์ไม่ได้ล้มเพราะศุภชัย แต่เพราะ DSI กับอัยการเป็นผู้ทำ


➠ สรุปว่าเงินของธรรมกายที่คิดว่าเป็นผู้ร้าย กลับกลายเป็นท่อออกซิเจนให้สหกรณ์หายใจได้ต่อ ในขณะที่เงินอายัดของ DSI ที่ใครว่าเป็นพระเอก ดันเป็นเหมือนกรรไกรตัดท่อหายใจให้สหกรณ์ตายซะงั้น



➠ ยัง...ยังมีประหลาดกว่านั้นอีก

2. คือเรื่องธรรมกายเดินไปจนสุดทาง แต่ DSI ดันคิดว่ายังไม่สุด เลยทำเหมือนคนเดินไปเจอซอยตัน แล้วยังทะลึ่งเดินชนซ้ำ ๆ ต่อไป ด้วยการแจ้งข้อหาประหลาดพิลึกกึกกือมาให้พระธัมมชโย


➠ DSI หวังจะได้เงินมาคืนให้สหกรณ์รึ ?

➠ คงไม่ใช่

เพราะเงินที่ศุภชัยบริจาคมามูลค่าแค่ 8% คือ 1,000 ล้าน ตามยังไงก็ไม่ได้มากกว่านี้ และที่สำคัญ คือมันไม่มีทางได้คืน ไอ้ที่ DSI ควรไปตาม คืออีก 92% มูลค่า 10,000 กว่าล้านบาทต่างหาก ถ้าไปตามตรงนั้น ก็ไม่ต้องทุ่มสรรพกำลังทั้งหลายมากระจุกที่ธรรมกาย เพราะสุดท้ายก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

DSI จึงคล้ายคนบ้าตาบอดตามสมบัติ ทั้งผิดที่ ผิดวิธี ตามเงินอย่างนี้อีกกี่ปีก็ไม่เจอ

หรือเพราะมี "ธง" อะไรบางอย่าง ?

วันนี้คงเล่าไม่ทัน ขอยกไปคราวหน้าละกันนะครับ


คมความคิด

21 มีนาคม 2560


ติดตาม เรื่องประหลาดธรรมกาย (ตอนที่1) ใน คลิ๊กที่นี่

เรื่องประหลาดที่เกิดกับ "ธรรมกาย" (ตอนที่ 2) เรื่องประหลาดที่เกิดกับ "ธรรมกาย"  (ตอนที่ 2) Reviewed by bombom55 on 02:38 Rating: 5

1 ความคิดเห็น:

  1. ประหลาดจริงๆคดีนี้ รับของโจร ฟอกเงิน อัลไล?? เอาเวลามาคิดช่วยสหกรณ์ดีกว่าไหม สหกรณ์ต้องการแค่เงิน ตะบี้ตะบันเอากับวัดที่เค้าคืนเงินแล้วเนี่ยนะ แล้วสุดท้ายดีกับสหกรณ์ยังไง คิดไม่ออก...

    ตอบลบ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.