วงจรอุบาทว์เริ่มกลับมาอย่างที่ผมกังวลอีกแล้ว


วงจรอุบาทว์
วงจรอุบาทว์เริ่มกลับมาอย่างที่ผมกังวลอีกแล้ว


ผมมีอายุมากพอจะทันได้ดูละครคลาสสิกเวียนเทียน ดอกศุกร์ ดาวพระโศก คู่กรรม แม่นากพระโขนง สร้างวนไปเวียนมาหลายตลบ

ผมเกิดทันพอจะได้เห็นประเทศไทยมีปฏิวัติรัฐประหาร ปกครองด้วยเผด็จการทหาร วนไปวนมา ด้วยข้อหาคลาสสิก คือ นักการเมืองคอรัปชั่น, ล้มล้างสถาบัน แม้กระทั่งคิดจะเปลี่ยนระบอบการปกครองก็ยังมี

คนไทยชินกับภาพเดิม ๆ จนเหมือนกับชินเรื่องฤดูกาล - หน้าร้อน แล้วก็ฝน แล้วก็หนาว เหมือนกับที่เรามีรัฐบาลเลือกตั้ง - ถูกกล่าวหา (ตามแต่เขาจะอ้างว่าข้อหาไหน) - ทหารเข้ามายึดอำนาจ วนเวียนกันไป จนประเทศไทยติด Top 5 ของประเทศที่มีปฏิวัติรัฐประหารมากที่สุดในโลก


คนไทยลืมง่าย ให้อภัยง่าย และที่สำคัญเป็นสังคมที่เชื่ออะไรง่าย และไม่ค่อยอดทนรออะไรนาน ๆ
เจอกระแสข่าวเป่าหูหน่อย ก็เชื่อสิ่งที่สื่อ หรือที่ใครช่วยกระพือเป่าใส่ สภาพไม่ต่างกับไม้ขีดไฟที่โยนเข้าไปในกองฟาง จากนั้นก็ต้องการซุปเปอร์ฮีโร่มาช่วยดับไฟ ซึ่งบางทีก็ไม่รู้เลยว่า "คนจุดไฟกับคนดับไฟมันจะเป็นคน ๆ เดียวกัน"

วันนี้วงจรอุบาทว์นั้นกลับมาเกิดอีกครั้งกับสังคมไทย ต่างแต่ว่า จากการเมืองลามมาสู่ศาสนา และวันนี้ผมเชื่อว่า ศาสนาถูกลากเข้าไปเกี่ยวกับการเมืองแล้ว 100%

กรณีวัดพระธรรมกาย กลายมาเป็นโศกนาฏกรรมใหม่ที่เกิดขึ้น เริ่มจากวัดที่สร้างมาจะ 50 ปี อยู่ดี ๆ ก็มีกระแสมรสุมรุมตี โดยเฉลี่ย 10 กว่าปีครั้ง

จากอดีตถูกหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์, รังแกชาวนา, มาถึงเจ้าอาวาสโกงที่ดิน, ไม่เชื่อฟังพระลิขิต, อวดอุตริมนุสธรรม จนกระทั่ง พ.ศ. 2560 เป็นคดีรับของโจร ฟอกเงิน บิดเบือนคำสอน ไม่ใช่พุทธแท้ ทำผิดกฎหมาย

300 กว่าคดีเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่วัน จนวัดสำนึกผิดแทบไม่ทัน สถิตินี้น่าเอาไปลงกินเนสต์บุ๊คเหลือเกิน

สื่อเริ่มโหมประโคมข่าว จุดเรื่องราวให้เป็นกระแสสารพัดสารพัน รัฐให้ข่าวชี้นำ เอากฎหมายที่เขียนเองเออเองระดมใส่ จนเมื่อทำอะไรฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ ก็งัด ม.44 มาใช้ ใครไม่ทำตามก็บอกผิดกฎหมาย ตามสไตล์คนมีอำนาจในมือ

จากนั้นกลุ่มแนวร่วมก็ออกมาใส่สีตีไข่ ดราม่ากันไปรายวัน โดยเฉพาะกับคนดัง ๆ ในสาขาต่างๆ ที่คนไทยเห็นชื่อก็รู้สึกว่าน่าเชื่อถือยิ่งกว่าพ่อแม่ตัวเอง

วงจรอุบาทว์กลับมาอีกครั้งอย่างที่ผมกลัว
แต่วิธีสู้กับความกลัวคือการประจันหน้ากับความกลัวนั้น ด้วยความจริง
ผมตั้งข้อสังเกตว่า กีฬาสีมันยังอยู่ในสังคมไทย และคราวนี้ศาสนา คือวัดพระธรรมกาย ถูกจับให้ไปอยู่กับสีใดสีหนึ่งเรียบร้อยโรงเรียนจีน เมื่ออยู่สีตรงข้าม ก็เข้าสู่วงจรอุบาทว์ทำลายล้างอีหรอบเดิม

รัฐ-สื่อ-ดารา-แม้กระทั่งพระที่คอเดียวกัน ก็เริ่มโหมกระหน่ำให้วัดพระธรรมกายกลายเป็นกระแสสังคม เมื่อทำอะไรวัดเขาไม่ได้ หรือทำได้แต่ไม่ถนัด ไม่ทันใจ ก็งัด ม.44 มาใช้ อ้างว่านี่คือกฎหมาย (เพราะข้าคือกฎหมาย) ที่ต้องทำตาม

กำลังตำรวจ ทหาร กว่า 5,000 นาย และอาจระดมมามากมายกว่านั้น อีกทั้งจะเล่นงานธรรมกายไปอีกนานวันแค่ไหนไม่มีใครตอบได้เหมือนกัน ห้ามคนเข้า ห้ามส่งเสบียงอาหาร ตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต โทรศัพท์ ขู่จะตัดน้ำตัดไฟ นี่จะจับพระหรือจะฆ่าหมู่ครับท่านผู้นำ

ทุ่มสรรพกำลังและงบประมาณมหาศาลขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องการเมืองนี่ ผมให้ถีบหน้าเลย
ผมบอกแล้วว่าคนไทยเชื่อง่าย และไม่ชอบอดทนอะไรนาน ๆ ชอบเห็นอะไรปุบปับรวดเร็ว แต่ไม่ค่อยคำนึงถึงผลที่จะตามมา ประเทศเราถึงล้าหลัง เพราะมองแต่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไอ้เรื่องจะวางโครงสร้างสังคม ประเทศระยะยาวก็ทำกันไม่เป็น เหมือนคนปลูกกล้วย ประเทศเจริญเขาจะฟูมฟัก รดน้ำ รอคอย จนกล้วยออกผล แต่ประเทศไทย แค่มันโตขึ้นมาสูงเท่าเอว ก็รีบริดใบมาใช้กันแล้ว...ปลูกให้ตาย ก็ไม่มีวันได้กล้วยมากิน


>>>พอตั้งสติมองความจริงเรื่องธรรมกาย เราเห็นอะไรบ้างครับ<<<

สื่อที่รุมด่า คือสื่อหน้าเดิม ขอออกชื่อเลยละกัน เช่น เครือเนชั่น อมรินทร์ ทีนิวส์ แนวหน้า ชุดนี้สีเดียวกัน อ่านไปเถอะ ไม่เคยเจอเรื่องดีของธรรมกาย ส่วนสื่อที่กลาง ๆ หน่อยก็มีทั้งติทั้งชม สื่อที่ด่าก็คือเลือกข้างเรียบร้อย อ่านทีไรต้องเอา 50 ไปหาร และต้องเทียบความน่าเชื่อกับสื่ออื่นอีกที (ตอนหลังนี่ผมเลิกอ่านไปเลย)

กลุ่มนักร้องดาราคนดัง ล่าสุดก็ อุ๋ย บุดดาเบลส, ดี้ นิติพงษ์, หมู พิมพ์ผกา, ดร.เสรี, พระพุทธอิสระ เริ่มออกมาจุดกระแส บางท่านอาจจริงใจ บางท่านยังมีกีฬาสีในใจ ตรงนี้ผมไม่ทราบได้ แต่ไปในแนวทางเดียวกัน

บอกตามตรง คนที่เป็นดารา นักร้อง นักแต่งเพลง ที่อาชีพคุณหากินกับการมอมเมาคนอื่นด้วยการแสดงหรือเสียงเพลง (พระพุทธเจ้าท่านสอนน่ะครับ ว่ารูป, เสียง อะไรพวกนี้เป็นกามคุณ ควรละ) จะมาเข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า พูดถึงเรื่องพระสงฆ์แท้ การปล่อยวาง คำสอนในพระไตรปิฎก พระพุทธศาสนาที่แท้จริง พระพุทธเจ้าสอนอะไร หนักกว่านั้น คือเอาพระลิขิตมาอ้างว่าพ้นจากความเป็นพระแล้ว คำสอนไม่ตรงกับปรัชญาพุทธทุกนิกาย รัฐต้องปิดทางลำเลียงอาหาร และที่หนักเลยคือเห็นวัดที่สร้างมาจะ 50 ปี เป็นซ่องโจร

>>>ผมถามง่าย ๆ เลยครับ ที่พูดมาทั้งหมดน่ะ คุณเคยบวชกันนานเท่าไหร่ คุณเคยอ่านพระไตรปิฎกกันบ้างไหม หรือไปฟังใครเขาเล่ามา รู้ไหมครับว่า พระจะพ้นจากสมณเพศได้ ไม่ใช่แค่อาศัยว่าใครบอกให้พ้น วัน ๆ นอกจากร้องเพลง แต่งเพลง แสดงหนัง พวกคุณไปวัดทำบุญ ฟังธรรมปีละกี่ครั้งกันครับ คิดดี ๆ ก่อนค่อยตอบ ถ้ามันน้อยมาก กรุณาหุบปากเถอะ ผมรู้คุณเก่งในอาชีพของคุณ แต่คุณคงไม่ได้เก่งหรือรู้ไปทุกเรื่องหรอกครับ 4 คน ก็คือ 4 ความเห็น ไม่ได้มีนัยยะอะไร แต่เวลาจะออกความเห็นอะไร ควรศึกษาเรื่องนั้น ๆ มาก่อนให้ดี...แค่นี้นะ ขี้เกียจเถียงหรือขุดคุ้ยครับ น่ารำคาญ

>>>คนเป็นอาจารย์กับคนอื่น ๆ ที่สนับสนุน ม.44 ก็พอกัน อยากเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่รู้ว่าโลกทั้งใบไม่มีประเทศประชาธิปไตยที่ไหนเห็นด้วยกับ ม.44 เลย นี่ก็ย้อนแย้ง Ship Hai ให้ตายเถอะ

>>>จากนั้นรัฐเริ่มหาความชอบธรรม อ้างว่าทำตามกฎหมาย บอกตามตรงถ้าผมมีอำนาจแบบนั้น ผมจะทำแบบเดียวกับพวกท่านบ้าง คือ เอะอะก็ ม.44...อยากรู้น่ะครับ ว่าท่านจะรับว่ามันคือกฎหมายไหม ดังนั้นอย่าใช้พร่ำเพรื่อ บ่อยจนเบื่ออย่างกับคนท้องเสีย เวลาใช้ คิดด้วยว่าถ้าเป็นเราจะรู้สึกอย่างไรนะครับท่านผู้นำ

***จนกระทั่งเมื่อวาน คือความทู่เรศที่สุดตั้งแต่ดูการต่อสู้ของรัฐกับวัดมา คือรัฐใช้ ม.44 ถอด ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา และตั้ง พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ เจ้าหน้าที่ DSI ที่ทำคดีรถโบราณสมเด็จช่วง มาเป็นแทน สงสัยจังว่าตำรวจอะไรมันจะเก่งทั้งจับโจร ทั้งรู้เรื่องพระสงฆ์องค์เจ้าขนาดนั้น ขำอินฟินิตี้จริง ๆ ครับ

*****พอเป็นปุ๊บ รัฐก็ใช้กลไกทางกฎหมาย (อีกแล้ว) ให้ สน.พุทธฯ (ที่เพิ่งส่งคนของตัวเองเข้าไป) ร่วมมือโน่นนี่นั่น เช่น ให้เจ้าคณะภาคสั่งระงับการเดินทางของพระจากจังหวัดต่าง ๆ ไม่ให้มาร่วมกับธรรมกาย แต่ไม่รู้ว่าพระจะเชื่อไหม เพราะพระจังหวัดเชียงใหม่เริ่มทำให้ดูเป็นโมเดลแล้ว
บอกตามตรง ผมว่าคณะสงฆ์เราอ่อนแอ พระผู้ปกครอง แทนที่จะห่วงใยพระใต้ปกครอง ก็ดันไปห่วงอะไรก็ไม่รู้ กลัวจะผิดกฎหมาย แต่ไม่กลัวพุทธศาสนาจะเสียหาย สน.พุทธฯ ที่เคยดูแลสนับสนุนพระ ก็แว้งมากัดพระซะเอง พระพุทธศาสนาช่วงนี้เคว้งคว้างวังเวงจริง ๆ เลย

*******************

>>>มา ๆ ตั้งสติ แล้วกลับมาดูปัญหาที่แท้จริงกัน คนไทยลืมง่าย มองอะไรไม่ลึกถึงต้นตอ ผมขอเล่าเรื่องนี้ย้อนอดีต และวิธีแก้ที่ดีกว่า ม.44 ให้ฟังกัน<<<


คดีนี้คือคดีแจ้ง ข้อหาเจ้าอาวาสว่ารับของโจรและฟอกเงิน เจ้าอาวาสองค์เดียว พระอื่นไม่เกี่ยว วัดไม่เกี่ยว คดีนี้เป็นคดีทั่วไปเหมือนคนอื่น ๆ ที่ถูกกล่าวหาแบบเดียวกันหลายหมื่นคดี

ตอนนี้เพิ่งเริ่มแค่ขั้นตอนแจ้งข้อกล่าวหา ยังไม่ได้ตัดสินว่าผิดจริงหรือไม่ และกว่าจะเริ่มคดีนี้ได้ ต้องไปเริ่มที่นายศุภชัย ที่อยู่ในขั้นตอนของศาลก่อนว่าเป็นโจร ผิดจริง จากนั้นคดีรับของโจรหรือฟอกเงินจึงจะมาเริ่มต้นที่เจ้าอาวาสได้ (อีกกี่ปีไม่รู้นะ)

ตอน DSI แจ้งข้อกล่าวหา เจ้าอาวาสขอให้มาแจ้งที่วัดเพราะอาพาธ และพร้อมสู้คดี แต่อัยการฝ่าย DSI บอกผิดกฎหมาย ต้องมาที่ DSI เท่านั้น ขนาดรองอธิบดีอัยการ, อดีต ผบ.ตร. บอกตรงกันว่าไปแจ้งที่ไหนก็ได้ (อัยการ DSI ไปเรียนกฎหมายฉบับไหนมาไม่ทราบ) เรื่องนี้ผมเชื่อนะ ว่าเจ้าอาวาสจะสู้คดีจริง เพราะเคยสู้ให้เห็นเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วมา

DSI เริ่มสร้างความระแวงให้วัด ไม่สนใบรับรองแพทย์ ไม่คิดจะพาแพทย์ของตัวเองไปตรวจว่าป่วยจริงไหม จนขอศาลออกหมายจับ พอวัดเขาทัก ก็บอกเลยขั้นตอนนั้นมาแล้ว สรุปคือ ไม่แจ้งในวัด ต้องแจ้งนอกวัด เพราะอะไร เพราะตอนหลังมาบอกว่าจับได้จะต้องให้สึกนั่นเอง...เป็นคุณจะไปไหมล่ะ คนที่ชอบพูดว่า "ไม่ผิดแล้วกลัวอะไร" เข้าใจแล้วนะครับ

จากนั้นส่งฟ้องศาล แต่อัยการบอกให้ไปสอบผู้ต้องหาเพิ่มเติม...คือแสดงว่าสำนวนอ่อนนั่นแหละ หามูลหมามูลแมวไม่ได้ ส่งเข้าศาลไปก็อาจแพ้หน้าหงายออกมา

นี่แหละคือที่มาของเหตุการณ์ที่กำลังเกิดตอนนี้....


*****************

>>>คือวันที่ DSI ตำรวจ ทหาร พยายามจะเข้าค้นวัด ทั้งขอหมายจับ ขู่วัดสารพัด เล่นสงครามจิตวิทยา คิดว่าลูกศิษย์เขาจะทิ้งวัดไป ที่ไหนได้ ยิ่งขู่ยิ่งมา และไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย จน DSI หมดท่า รัฐจึงงัด ม.44 ออกมาใช้กับพระ 1 รูป วัด 1 วัด...เฮ้ย !!!!! ลืมไปหรือยังว่านี่เป็นการแจ้งข้อกล่าวหาในคดีรับของโจรและฟอกเงิน ไม่ใช่การประกาศสงคราม

จากนั้นวัดยอมทำตามให้ค้น 3 วันตามที่ตกลงกันไว้ DSI ตำรวจ สุนัขตำรวจ (ในบรรดาเจ้าหน้าที่ หมาพวกนี้โคตรน่ารัก ได้ยินว่าตัวละ 6 ล้าน) เป็นพันนาย ระดมค้นทุกอาคารทั้งกลางวันกลางคืนโดยไม่บอกสถานที่ล่วงหน้า ตรงไหนที่สงสัย เช่นอุโมงค์ ห้องลับ ตามที่นายมโนมันว่า ก็ไปตรวจมาจนหมด แต่ไม่พบอะไร ชุดผู้ตรวจเซ็นเอกสารรับรองไว้ ว่าไม่เจอเป้าหมาย ไม่มียาเสพติด อาวุธ ของผิดกฎหมาย ซึ่งเรื่องควรจบตรงนี้ได้แล้ว แต่ก็ไม่ทำ
วันถัดมาให้พระและโยมที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากวัดเพื่อเข้าตรวจค้นอีก คือ DSI ผิดสัญญาที่ให้ไว้ คนวัดเขาก็งงสงสัย ว่าที่จริงตำรวจ ทหาร และ DSI นั่นแหละที่ไม่เกี่ยว พวกเขาน่ะอย่างเกี่ยวเลย เพราะออกเงินสร้างวัดมากับมือตัวเอง...เออ อันนี้จริง


11 วันแล้วที่ยื้อกันมาถึงวันนี้ วันที่คนในวัดลุกขึ้นสู้กับกฎหมาย (เฉพาะ ม.44 ที่ชอบอ้าง) โดยยอมตายแต่ไม่ยอมให้ใครมาทำลายวัดกับพระพุทธศาสนา รัฐก็อ้างว่าผิดกฎหมาย ต่างฝ่ายต่างมองไปคนละมุม

วันนี้รัฐระดมกำลังตำรวจทหารมาบานตะไท ผมไม่รู้หรอกว่าเขาอยากจะเอาชนะเพื่อนร่วมชาติเดียวกันไปทำไม รู้แต่ว่าวิธีการมันไม่ถูกต้องเลย

สถานการณ์ตอนนี้ ผบ.ทบ.บอกไม่ต้องการให้มีความรุนแรง และ DSI เป็นเจ้าภาพ ผบ.ตร.ก็พูดแบบเดียวกัน ตกลงโยนความรับผิดชอบกลับมาให้ DSI อีกครั้งหนึ่ง (กะว่าจะหาคนอื่นรับแทนซะหน่อยก็แห้วไป) ซึ่งไม่รู้ว่าท่านจะรับผิดชอบไหวไหมเหมือนกัน

เรื่องนี้จะจบกันอย่างไรไม่รู้ รู้แต่ว่าจะพ่ายแพ้ด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ ประเทศจะเหมือนคนป่วยที่เกิดโรคแทรกซ้อน สังคมที่เปราะบางจะใกล้แตก ความแตกแยกจะตามมา จะไม่มีอะไรกลับคืนมาเหมือนอย่างที่เคยเป็น ไม่ว่าจะ ชาติ ศาสนา หรือ สังคม


>>>ถ้าเราจะเอากฎหมายเป็นที่ตั้ง ไม่เอาอารมณ์อยากชนะมาเป็นจุดยืน
รัฐครับ คุณถอยไปใช้กฎหมายตามปกติเถิด ให้วัดเขาสู้คดีไปตามกฎหมายทั่วไป จะกี่สิบปีจึงจะครบ 3 ศาลก็ต้องยอมให้ คดีที่หนักกว่านี้ก็ยังทำได้ไม่ใช่หรือ นี่แค่คดีที่ทางโลกถือว่าธรรมดา ไม่ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ก็ได้ละมัง

อ้อ... ส่วนคดีความทางสงฆ์ เรื่องคำสอน เรื่องอุตริมนุสธรรม เรื่องพระลิขิตอะไรนั่น ในทางกฎหมาย (ตามที่พวกคุณ ๆ ชอบอ้าง) เรื่องนี้จบถูกต้องทั้งทางธรรมวินัย และกฎหมายสงฆ์เรียบร้อยไปตั้งนานแล้ว ยอมรับซะทีเถิด และไปค้นหาอ่านบ้าง พวกอาจารย์ดารานักร้องคนดังทั้งหลาย

ถ้าให้เลือกระหว่างการเมืองที่อาศัยกฎหมาย กับพุทธศาสนาที่ปู่ย่าตายายรักษามา ผมเลือกอย่างหลัง


การเมือง กฎหมาย มันเปลี่ยนมาเปลี่ยนไปตลอดเวลา แต่พุทธศาสนา มันคือรากแก้วของสังคมไทย


เลิกเถอะ ผมเบื่อวงจรอุบาทว์ในประเทศไทยเต็มทีแล้วคุณ


คมความคิด

26 กุมภาพันธ์ 2560



วงจรอุบาทว์เริ่มกลับมาอย่างที่ผมกังวลอีกแล้ว วงจรอุบาทว์เริ่มกลับมาอย่างที่ผมกังวลอีกแล้ว Reviewed by bombom55 on 19:45 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.